-
ถั่วลิสง
ถั่วลิสงอยู่ในกลุ่มพืชผลผลิตไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ภายในประเทศ เพราะถั่วลิสงเป็นอาหารที่บริโภคง่าย เป็นส่วนประกอบอาหารหวานคาวต่างๆ และเป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป บางส่วนนำไปสกัดน้ำมัน และกากใช้ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์
ปัญหาของพืช ข้อจำกัด และโอกาส
-
คุณภาพของถั่วลิสงไทยค่อนข้างต่ำ มีการปนเปื้อนสารอะฟลาทอกซิน การ
ซื้อขายยังเป็นระดับเกรดคละจึงขาดแรงจูงใจในการผลิตให้มีคุณภาพดี
-
มีต้นทุนการผลผลิตสูง
-
พื้นที่ปลูกและปริมาณการผลิตไม่แน่นอน
-
มีการลักลอบนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้านในราคาที่ต่ำกว่า
-
ถั่วลิสงที่ผลิตในประเทศมีขนาดเมล็ดปานกลาง
-
การกระจายพันธุ์ดียังไม่ทั่วถึง
-
ควรได้รับการปรับปรุงในเรื่องการควบคุมการปนเปื้อนของสารอะฟลาทอก
ซินและมีระบบมาตรฐานรับรองผลผลิต เพื่อให้ได้ถั่วลิสงที่มีคุณภาพดีและปลดภัยต่อผู้บริโภค
-
กำหนดเขตการปลูกในพื้นที่ที่เหมาะสมและมีศักยภาพ
พันธุ์
การเลือกพันธุ์ ผลผลิตมีคุณภาพ และตรงตามกับที่ตลาดต้องการ เจริญเติบโตดีเหมาะกับสภาพดินฟ้าอากาศ
พันุ์ที่นิยมปลูก พันธุ์สำหรับใช้ในฝักรูปฝักสด เป็นถั่วตัมมี 3 พันธุ์
กาฬสินธุ์ 1
ประเภทพันธุ์ : พันธุ์แนะนำ
วันที่รับรอง : 09 มีนาคม 2544
ลักษณะเด่น :
1. เปลือกฝักค่อนข้างเรียบทำให้ล้างฝักสดให้สะอาดได้ง่าย
2. อายุเก็บเกี่ยวสั้นกว่าพันธุ์ สข.38 และขอนแก่น 60-2 ประมาณ 5-10 วัน
3. มีเยื่อหุ้มเลม็ดสีแดง ซึ่งเป็นที่นิยมของตลาดถั่วลิสงฝักตัมในประเทศไทย
4. มีรสชาติดี ฝักตรง มีจำนวนเมล็ด 2-3 เมล็ดต่อฝัก
ลักษณะทางการเกษตร : อายุเก็บเกี่ยวฝักสด 80-85 วัน ฝักแห้ง 90-100 วัน ขนาดฝัก 3.2 x 1.2 ซม. จำนวนเมล็ด 2.6 เมล็ดต่อฝัก ผลผลิตฝักสด 456 กก./ไร่ ผลผลิตแห้ง 191 กก./ไร่
พื้นที่แนะนำ : เหมาะสำหรับการปลูกในแหล่งการผลิตเพื่อใช้ประโยชน์ในรูปถั่วลิสงฝักตัม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่ดินมีความอุดมสมบูรณ์ปานกลางถึงสูง เช่น ดินร่วน หรือดินร่วนเหนียว และมีการกระจายของฝนดี เหมาะสำหรับปลูกในเขตภาคกลาง
ข้อควรระวัง : อ่อนแอต่อโรคโคนเน่า ก่อนปลูกควรคลุกเมล็ดด้วนสารเคมี lprodione 50% WP หรือ Benlate-T หรือ Cardoxin 75% อัตรา 7-10 กรัมต่อเมล็ด 1 กิโลกรัม กาฬสินธุ์ 1 ฝักใหญ่ยาว เส้นลายบนฝักลึงขีดสีม่วง อายุเก็บเกี่ยว 90-100 วัน ผลผลิตเฉลี่ย 580 กิโลกรัมต่อไร่ ต้านทานต่อโรคราสนิม เหมาะสำหรับปลูกในภาคเหนือที่เป็นดินร่วน หรือ ดินร่วนเหนียวปนทราย ซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์สูง
กาฬสินธุ์ 2
ประเภทพันธุ์ : พันธุ์แนะนำ
วันที่รับรอง : 09 มีนาคม 2544
ลักษณะดีเด่น :
-
ให้ผลผลิตฝักสดเฉลี่ย 579 กิโลกรัมต่อไร่ สูงกว่าพันธุ์ขอนแกน 60-2 และ
สข.38 ร้อยละ 10 และ 18 ตามลำดับ
-
มีความต้านทานต่อโรคราสนิมและใบจุดสีน้ำตาล
-
มีรูปร่างฝักสวย ฝักยาว มี 2-4 เมล็ดต่อฝัก รสชาติค่อนข้างหวาน
พื้นที่แนะนำ : เหมาะสำหรับปลูกในแหล่งการผลิตเพื่อใช้ในรูปถั่วลิสงฝักตัม โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ที่ดินมีความอุดมสมบูรณ์ปานกลางถึงสูง เช่น ดินรวน หรือดินร่วนเหนียวและมีการกระจายตัวของฝนดี เหมาะสำหรับการปลูกในเขตภาคเหนือ
ข้อกำจัด : ควรปลูกในดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ปานกลางถึงสูง เช่น ดินร่วนหรือดินร่วนเหนียว มีการกระจายตัวของฝนดี
สข.38 เส้นลายบนฝัก และจะจอยฝักเห็นชัดเจน มี 2-4 เมล็ดต่อฝัก เยื่อหุ้มเมล็ดสีแดงอายุเก็บเกี่ยว 85-90 วัน ผลผลิตเฉลี่ย 490 กิโลกรัมต่อไร่ ปลูกได้ทุกภาคของประเทศ ที่เป็นดินร่วน หรือดินร่วนปนทราย
พันธุ์สำหรับใช้ในรูปฝักแห้ง ปลูกได้ทุกภาคของประเทศ
ไทนาน 9
ประเภทพันธุ์ : พันธุ์รับรอง
วันที่รับรอง : 09 ตุลาคม 2519
ลักษณะเด่น : ให้ผลผลิตสูง เมล็ดมีคุณภาพดี เปลือกของฝักค่อนข้างบาง ทำให้มีเปอร์เซ็นต์การกระเทาะสูง 32-77% และมีลักษณะอื่นๆ ที่ดีกว่าพันธุ์มาตรฐานเดิมคือ สจ.38 และลำปาง สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวลล้อมได้ดี ผลผลิตทั้งฝักแห้งเฉลี่ย 260 กก./ไร่ ฤดูแล้ง 239 กก./ไร่ ฤดูฝน 236 กก./ไร่
ลักษณะทางการเกษตร : ทรงต้นเป็นพุ่มตรง (bunch) ติดฝักเป็นกระจุกที่โคนต้น ดอกสีเหลือง ออกดอกเมื่ออายุ 90-110 วันฝักค่อนข้างเล็ก เปลือกบางมี 2 เมล็ดต่อฝัก เส้นลายบนฝักไม่ชัดเจน ฝักเรียบ จงอยปากเห็นได้ชัดเจน
ความต้านทานโรค : ไม่ต้านทานดรคนาสนิมและโรคใบจุด
ขอนแก่น 4
ประเภทพันธุ์ : พันธุ์รับรอง
วันที่รับรอง : 19 ธันวาคม 2537
ลักษณะดีเด่น :
-
ให้ผลผลิตฝักสดเฉลี่ย 586 กก./ไร่ ผลผลิตฝักแห้งเฉลี่ย 270 กก./ไร่ และ
ผลผลิตเมล็ดเฉลี่ย 171 กก./ไร่
-
น้ำหนัก 100 เมล็ดเท่ากับ 47 กรัม
-
ทนทานต่อโรคโคนเน่าปานกลาง
-
ปลูกได้ทั้งฤดูแล้งและฤดูฝน
พื้นที่แนะนำ : ปลูกได้โดยทั่วไปของสภาพดิน ที่มีความเหมาะสมในการผลิตถั่วลิสงในประเทศไทย มีเสถียรภาพให้การให้ผลผลิตดี มีการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดี
ขอนแก่น 5
ประเภทพันธุ์ : พันธุ์รับรอง
วันที่รับรอง : 18 มีนาคม 2541
ลักษณะดีเด่น :
1. มีขนาดเมล็ดโตกว่า หรือน้ำหนัก 100 เมล็ด สูงกว่าพันธุ์มาตรฐานไทนาน 9 และ ขอนแก่น 60-1 ร้อยละ 17 และ 7 ตามลำดับ
2. สามารถปรับตัวและให้ผลผลิตได้ดีกว่าพันธุ์มาตรฐานไทนาน 9 และขอนแก่น 60-1 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การปลูกในฤดูแล้งที่ให้น้ำชลประทาน ให้ผลผลิตเฉลี่ยระหว่างพันธุ์ไทนาน 9 และขอนแก่น 60-1 ร้อยละ 12 และ 7 ตามลำดับ
3. มีระดับการเป็นโรคไวรัสยอดไหม้ ร้อยละ12.8 ต่ำกว่าพันธุ์ไทนาน 9 และขอนแก่น 6-1 ซึ่งเป็นโรค ร้อยละ 20.6 และ 16.3 ตามลำดับ
4. น้ำหนัก 100 เมล็ดเท่ากับ 51.1 กรัมผลผลิตฝักแห้ง 304 กก./ไร่
พื้นที่แนะนำ : โดยทั่วไปของสภาพการผลิตถั่วลิสงในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูแล้งที่น้ำชลประทานและฤดูฝนที่มีสภาพแวดล้อมเหมาะสม จะทำให้ผลผลิตสูงมาก
ข้อควรระวัง : ถั่วลิสงสายพันธุ์ (Tain-an9xFCM387)-12-3-11 จะให้ผลผลิตไกล้เคียงกลับพันธุ์มาตรฐานไทนาน 9 และขอนแก่น 61-1 เมื่อปลูกในฤดูฝนที่มีสภาะแวดล้อมไม่เหมาะสม เช่น ดินมีความอุดมสมบูรณ์ การกระจายตัวของฝนไม่ปกติ ฝนทิ้งช่วงนานในระหว่างฤดูปลูกและการจัดการไม่เหมาะสม
สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
-
ความสูงจากระดับน้ำทะเลไม่เกิน 800 เมตร
-
ความลาดเอียงไม่เกิน 5 เปอร์เซ็นต์
-
ดินร่วน ดินร่วนปนทราย หรือดินร่วนเหนียวปนทราย
-
ความอุดมสมบูรณ์ปานกลาง มีอินทรียวัตถุไม่ต่ำกว่า 1.0 เปอร์เซ็น
-
การระบายน้ำและถ่ายเทอากาศดี
-
ระดับหน้าดินลึกประมาณ 30 เซนติเมตร
-
ค่าความเป็นกรดด่างระหว่าง 5.5-6.5
-
อุณหภูมิมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตของถั่วลิสงมาก
-
อุณหภูมิที่เหมาะสมเฉลี่ย 30 องศาเซลเซียส อุณหภูมิกลางวัน/กลางคืน
ประมาณ 35/25 องศาเซลเซียส ปริมาณน้ำฝนกระจายสม่ำเสมอ 1,000-1,500 มิลิตรต่อปี
การปลูก
ฤดูปลูก การปลูกในฤดูฝน แบ่งเป็น 3 ช่วงคือ
-
ตันฤดูฝน (เมษายน-พฤษภาคม)
-
กลางฤดูฝน (มิถุนายน)
-
ปลายฤดูฝน (กรกฎาคม-สิงหาคม)
การปลูกในฤดูแล้ง มี 2 วิธี
-
ปลูกในนาโดยอาศัยน้ำชลประทาน (ธันวาคม-มกราคม)
-
ปลูกหลังนาโดยอาศัยความชื้อในดิน (ตุลาคม-พฤศจิกายน)
การเตรียมดิน
การปลูกในฤดูฝน
-
พื้นที่มีวัชพืชน้อย ไม่ต้องเตรียมดิน ให้ไถเปิดร่อง แล้วหยอดเมล็ด
-
พื้นที่มีวัชพืชหนาแน่น ให้เตรียมดินโดยไถ 1 ครั้ง ลึก 10-20 เซนติเมตร
ตากดิน 7-10 วัน พรวน 1 ครั้ง แล้วคราดเก็บเศษซาก ราก เหง้า หัว และไหล ของวัชพืชข้ามปีออกจากแปลง
การปลูกในฤดูแล้ง มี 2 วิธี
-
ปลูกในนาโดยอาศัยน้ำชลประทาน ให้เตรียมดินปลูก เช่นเดียวกับกับ
การปลูกในฤดูฝนโดยยกร่องปลูกสูง 20-25 เซนติเมตร เพื่อให้น้ำได้สะดวก
-
ปลูกหลังนาโดยอาศัยความชื้อในดินต้องเตรียมดินให้ละเอียดโดยไถ
ดิน 2 ครั้ง และพรวน 1-2 ครั้ง
การวิเคราะห์ดิน
ถ้าดินมีอินทรียวัตถุต่ำกว่า 1.0 เปอร์เซ็นต์ หลังจากไถพรวนดินให้หว่านปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักที่ย่อยสลายดีแล้ว อัตรา 1,000 กิโลกรัมต่อไร่ สำหรับดินร่วนเหนียวปนทราย และอัตรา 2,000 กิโลกรัมต่อไร่ สำหรับดินร่วนหรือดินร่วนปนทราย แล้วพรวนกลบ (สามารถใส่สารปรับสภาพดินแทนได้)
วิธีการปลูก
ปลูกด้วยเมล็ดที่มีความงอกมากกว่า 75เปอร์เซ็นต์ อัตราปลูก 13-14 กิโลกรัมต่อไร่สำหรับพันธืถั่วลิสงฝักสด และอัตรา 17-18 กิโลกรัมต่อไร่ สำหรับพันธุ์ถั่วลิสงฝักแห้ง ระยะปลูก 50x20 เซนติเมตร ปลูกในหลุมลึก 5-8 เซนติเมตร จำนวน 2-3 เมล็ดต่อหลุม ซึ่งจะได้จำนวน 32,000-48,000 ต้นต่อไร่ ถ้าปลูกในฤดูแล้งโดยอาศัยความชื้นในดิน ควรปลูกให้ลึก 10 เซนติเมตร คราดหน้าดิน หลังปลูกให้สม่ำเสมอเพื่อช่วยให้เมล็ดงอกดีขึ้น
การให้ปุ๋ย 5 นางฟ้าทรงฉัตร
-
ดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ ให้ปุ๋ยเคมีสูตร 18-46-0 อัตรา 15-20
กิโลกรัมต่อไร่ หรือหินฟอสเฟตสูตร 9-3-9 อัตรา 200-300 กิโลกรัมต่อไร่ ร่วมกับปุ๋ยเคมีสูตร 0-0-6 อัตรา 5-10 กิโลกรัมต่อไร่ หากไม่มีปุ๋ยดังกล่าวอาจใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 25 กิโลกรัมต่อไร่ หรือสูตร 16-16-8 อัตรา 35 กิโลกรัมต่อไร่ รองกันหลุมก่อนปลูก หรือโรยข้างแถว แล้วพรวนดินกลบถั่วลิสงงอก 10-15 วัน
การให้น้ำ
-
การปลูกในฤดูแล้ง ควรให้น้ำตามร่องทันทีปลูกจนเต็มสันร่อง เพื่อให้ถั่ว
ลิสงงอกสม่ำเสมอ การปลูกในฤดูฝน ควรให้น้ำทุก 7 วันในเดือนแรก หลังจากนั้นให้น้ำทุก 10 วัน สูงถึงระดับเศษ 3 ส่วน 4 ของความลึกของร่องน้ำ โดยไม่ต้องระบายน้ำออก
-
ต้องไม่ให้ถั่วลิสงขาดน้ำ ช่วงอายุ 30-60 วันหลังงอก ซึ่งระยะที่อยู่ในช่วง
แทงเข็มสร้างฝักและเมล็ด
การพรวนดิน
-
พรวนดินข้างแถวถั่วลิสงหลังออกดอกและก่อนแทงเข็ม ช่วงอายุ 30-40
วันหลังงอกเพื่อปรับหน้าดินให้เหมาะสมต่อการแทงเข็มและสร้างฝัก
-
ไม่ควรพูนดินกลบกิ่งแรก เพราะจะทำให้การออกดอกและการติดฝัก
ลดลง
โรคที่สำคัญและการป้องกันกำจัด
-
โรคโคนเน่า หรือโคนเน่าขาด
ต้นเหี่ยวเหลือง ยุบตัว โคนต้นเป็นแผลสีน้ำตาล พบกลุ่มสเปอร์สีดำปกคุมบริเวณแผลเมื่อถอนขึ้นมาส่วนลำต้นจะขาดจากส่วนราก พบโรคทุกแหล่งและทุกฤดูปลูก
การป้องกันกำจัด : คลุกเมล็ดปลูกก่อนด้วย ไอโปรไดโอน 50% ดับบลิวพี 3-5 กรัม/เมล็ด 1 กก./น้ำ 20 ลิตร และคาร์เบนดาซิม 50% ดับบลิวพี 5 กรัม/เมล็ด 1 กก./น้ำ 20 ลิตร
-
โรคลำต้นเน่า หรือ โคนเน่าขาว
ยอด กิ่ง และลำต้น เหี่ยวยุบเป็นหย่อมๆพบแผลเน่าที่ส่วนสัมผัสกับผิวดิน บริเวณที่ถูกทำลายจะมีเส้นใยสีขาว รวมทั้งเม็ดสเคลอโรเทีย ของเชื้อราที่มีลักษณะคล้ายเมล็ดผักกาดโดยเฉพาะในพื้นที่มีการปลูกพืชแน่นเกินไป และปลูกซ้ำที่เดิมพบพืชเป็นโรคในช่วงติดฝักถึงเก็บเกี่ยว
การป้องกันกำจัด : พ่นสารเมตาแลกซิน+แมนโคเซบ (8% + 64% ดับบลิวพี) 15-20 กรัม/น้ำ 20 ลิตร และโพรพิโคนาโซล (25% อีซี) 12-20 มิลลิลิตร /น้ำ 20 ลิตร ไอโปรไดโอน (50% ดับบลิวพี) 40 กรัม/น้ำ 20 ลิตร
-
โรคยอดไหม้
ยอดอ่อนและใบยอดเป็นแผลเซลล์ตายมีสีเหลือง ก้านในและกิ่งโค้งงอ ถ้าเป็นโรคในระยะกล้าถั่วลิสงจะตายหรือแคระแกร็นไม่ติดฝัก ถ้าเป็นโรคระยะต้นโต ทำให้การติดฝักลดลง
การป้องกันกำจัด : พ่นสาร อะซีเฟต 20 กรัม/น้ำ 20 ลิตร ไตรอะโซฟอส 50 มิลลิลิตร/น้ำ 20 ลิตร เมทิโอคาร์บ 30 กรัม/น้ำ 20 ลิตร เพื่อป้องกันกำจัดเพลี้ยไฟพาหะนำโรค
-
โรคใบจุด
แผลเป็นจุดสีดำหรือน้ำตาล ขนาด 1-8 มิลลิเมตร ขอบแผลอาจมีวงสีเหลืองล้อมรอบระยะแรกที่พบที่ใบล่าง ต่อมาลุกลามไปสู่ใบบนอาการรุนแรงทำให้ใบเหลือง ขอบใบบิดเบี้ยวไหม้แห้งดำ และร่วงก่อนกำหนด
การป้องกันกำจัด : พ่นสารเบโนมิล 15-20 กรัม/น้ำ 20 ลิตร และแมนโคเซบ 20-30 กรัม/น้ำ 20 ลิตร
-
โรคราสนิม
แผลเป็นตุมสีน้ำตาลถึงน้ำตาลเข้ม ขนาดเท่าหัวเข็มหมุด กระจายทั่วบนใบ ต่อมาแผลจะแตก พบสปอร์เชื้อราสีน้ำตาลคล้ายสนิมเหล็กจำนวนมาก คุมบริเวณปากแผล
การป้องกันกำจัด : พ่นสารคลอโรธาโรนิล 40 กรัม/น้ำ 20 ลิตร แมนโคเซบ 30-40 กรัม/น้ำ 20 ลิตร มาเนบ 20 กรัม/น้ำ 20 ลิตร
แมลงศตรูที่สำคัญและการป้องกันกำจัด
-
หนอนชอนใบถั่วลิสง
ชอนเข้าไปกัดกินเนื้อเยื่อของใบเหลือไว้แต่ผิวด้านบนและด้านล่าง ต่อมาใบแห้งเป็นสีขาว เมื่อหนอนโตมากขึ้นจะออกมาพับใบถั่ว หรือชักใยเอาใบถั่วมารวมกัน อาศัยกัดกินและเข้าดักแด้ในใบนั้น ถ้าระบาดรุนแรงจะทำให้ต้นถั่วแคระแกร็นใบร่วงหล่น
การป้องกันกำจัด : พ่นสารไตอะโซฟอส 40 มล./น้ำ 20 ลิตร และอะซีเฟต 20 กรัม/น้ำ 20 ลิตร
-
เพลี้ยอ่อนถั่ว
ตัวอ่อนและตัวเต็มไว้จะดูดกินน้ำเลี้ยงตามยอดอ่อน ใบอ่อน ดอก และเข็ม ทำให้ต้นแคระแกร็นใบอ่อน และยอดอ่อนหงิกงอ
การป้องกันกำจัด : พ่นสาร คลอร์ไพริฟอส 100 มล/น้ำ 20 ลิตร
เพลี้ยไฟ
ดูดกินน้เลี้ยงตามยอดอ่อน ใบ และดอกทำให้ใบหงิกงอ บิดเบี้ยวมีรอยขีดข่วน เพลี้ยไฟบางชนิดทำลายใบ ทำให้เหมือนมีไขติดอยู่เส้นกลางใบและหลังใบ สีน้ำตาลคล้ายสนิมถ้าระบาดรุนแรงจะทำให้ยอดไหม้และตายได้
การป้องกันกำจัด : พ่นสารอะซีเฟต 20 กรัม/น้ำ 20 ลิตร ไตรอะโซฟอส 50 มิลลิลิตร/น้ำ 20 ลิตร เมทิโอคาร์บ 30 กรัม/น้ำ 20 ลิตร เพลี้ยจักจั่นตัวอ่อนและตัวเต็มวัยจะดูดน้ำบริเวณใต้ใบ ทำให้ใบเหลือง ปลายใบเป็นรูปตัววี ถ้าระบาดรุนแรงมาก ใบสีไหม้เป็นสีน้ำและร่วง การป้องกันกำจัด พ่นสารอะซีฟอส 20 กรัม/น้ำ 20 ลิตร
-
เสี้ยนดิน
เจาะเปลือกถั่วเป็นรูแล้วกัดกินเมล็ดในฝัก หลังจากนั้นจะนำเข้าไปไว้ในฝักแทนเมล็ดที่ถูกทำลาย
การป้องกันกำจัด : ใช้สารควินสลฟอส 4 กก./ไร่ โรยพร้อมปุ๋ยข้างถั่ว และ คลอร์ไฟริฟอส 750 มล./น้ำ 80 ลิตร/ไร่ ฉีด
สัตว์ศัตรูที่สำคัญและการป้องกันกำจัด
-
หนู
ขุดกินถั่วลสงตั้งแต่ระยะฝักอ่อน โดยกินทั้งฝัก เมื่อถึงระยะเก็บเกี่ยวหนูจะกัดกินเฉพาะเมล็ดภายในและทิ้งซากเปลือกไว้ การป้องกันกำจัด ใช้กรงดักหรือ กับดัก ร่วนกับการใช้เยื่อพิษ
การป้องกันกำจัดวัชพืช ไถ 1 ครั้ง ตากดิน 7-10 วันพรวน 1 ครั้ง แล้วคราดเก็บเศษซาก ราก เหง้า หัว และไหล ของวัชพืช ข้ามปีออกจากแปลง กำจัดวัชพืชด้วยแรงาน 1-2 ครั้ง เมื่อ 10 วัน หรือ 30-40 วันหลังถั่วลิสงงอกโดยใช้จอบดายระหว่างแถว และใช้มือถือระวังต้น ต้องระวังไม่ให้รากและต้นของถั่วลิสงกระทบกระเทือน ในกรณีที่กำจัดวัชพืชด้วยแรงงานหรือเครื่องจักรกล ไม่มีประสิทธิ์ภาพเพียงพอควรพ่นสารกำจัดวัชพืชก่อนหรือหลังปลูกถั่วลิสง หลีกเลี่ยงการพ่นสารกำจัดวัชพืชโดยตรงไปที่ต้นถั่วลิสง
การเก็บเกี่ยว
ระยะเก็บเกี่ยวที่เหมาะสม
-
ถั่วลิสงฝักสด เก็บเกี่ยวตามอายุของพันธุ์ที่ปลูก
-
ถั่วลิสงฝักแล้ง เก็บเกี่ยวตามอายุของพันธุ์ที่ปลูก หรือเมื่อเปลือกฝักด้าน
ในเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลดำมากกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ โดยสุ่มถอนต้นถั่วลิสง 1 ต้นต่อจุด สำรวจ 10 จุดต่อไร่
-
การปลุกในฤดูแล้ง จะมีอายุเก็บเกี่ยวนานกว่าการปลูกในฤดูฝน 5-10
วัน
วิธีการเก็บเกี่ยว
-
ถอนหรือใช้จอบขุด ขณะดินมีความชื้น ระวังอย่าให้ฝักถั่วเป็นร่องแผล
-
ปลิวฝักด้วยมือ หรือเครื่องปลิว ร่อนดินออก และคัดฝักเสีย ฝักเน่า
และฝักที่เป็นแผลทิ้ง
-
ตากถั่วลิสงแห้งบนตะแกรงตาข่าย แคร่ หรือผ้าใบ อย่าให้ฝักสัมผัสกับ
พื้นดิน กองถั่วหนาไม่เกิน 5 เซนติเมตร พลิกกลับกองถั่ววันละ 2-3 ครั้ง เพื่อให้ฝักแห้งสม่ำเสมอทั่วทั้งกอง
-
ช่วงที่แดดจัดใช้เวลาตากประมาณ 3-5 วัน ทำให้ความชื้นลดต่ำลงกว่า
9 เปอร์เซ็นต์
-
มีการปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยวที่เหมาะสมเพื่อหลีกเลี่ยงการปนเปื้อน
สารอะฟลาทอกซิน ซึ่งเกิดจากเชื้อราในเมล็ดถั่วลิสง
วิทยาการหลังเก็บเกี่ยว
-
ถั่วลิสงเมล็ดขนาดปานกลาง เก็บรักษาได้นานกว่าขนาดเมล็ดใหญ่
และเมล็ดขนาดเล็ก
-
ในห้องที่ไม่มีการควบคุมอุณหภูมิ ควรเก็บในรูปฝักแห้งซึ่งจะเก็บได้นาน
กว่าเมล็ดแห้ง 2 เดือน เนื่องจากเปลือกฝักช่วยปกกันเมล็ดได้อีกชั้น
-
ควรกระเทาะถั่วลิสงฝักแห้งภายใน 3 เดือน เพื่อรักษาคุณภาพ
ด้านการบริโภค
การเก็บรักษาผลผลิตและบรรจุถั่วลิสงสด
-
ควรบรรจุถั่วลิสงฝักสดในกระสอบป่านที่สะอาด แล้วนำส่งตลาดให้เร็ว
ที่สุด เพื่อรักษาคุณภาพทางด้านรสชาติ
-
ควรส่งให้ถึงตลาดก่อน 24 ชั่วโมง ล้างให้สะอาดแล้วตัมทันที
-
ไม่ควรกองไว้นานเกิน 1 วัน เพราะอาจจะเกิดเชื้อราที่ไม่ปลอดภัยต่อผู้
บริโภค
ถั่วลิสงฝักแห้ง
-
บรรจุฝักในกระสอบป่านที่สะอาดและเก็บรักษาในโรงเก็บหรือส่ง
จำหน่ายให้ลูกค้า
-
โรงเก็บต้องเป็นอาคารโปร่ง อากาศถ่ายเทดี ป้องกันจากการเปียกชื้น
จากฝนได้ ไม่มีมอดหนูหรือสัตว์เลี้ยงเข้ารบกวน
-
ถ้าเป็นพื้นซีเมนต์ให้หาวัตถุรองกระสอบป่าน เช่นไม้ไผ่ เสาคอนกรีด เพื่อ
ไม่ให้ถั่วลิสงดูดความชื้นจากพื้นซีเมนต์ เพื่ออาจจะทำให้ถั่วเกิดเชื้อราได้
ของจำกัดของถั่วลิสง
ในถั่วลิสงมีข้อจำกัดที่สำคัญคือการเกิดสารพิษในถั่วลิสงที่เกิดจากเชื้อราชนิดหนึ่งที่เรียกว่า สารอะฟลาท็อกซิน เชื่อราที่เป็นสาเหตุ เชื้อ Aspergillus flavus และ A.parasiticus สารพิษนี้สามารถปนเปื้อนตั้งแต่ช่วงระยะที่ปลูกในแปลง การเก็บเกี่ยว การตากแห้ง รวมทั้งระหว่างการเก็บรักษาก่อนถึงผู้บริโภค โดยเฉพะการปลูกถั่วลิสงในฤดูฝน การปนเปื้อนของสารชนิดนี้เริ่มในช่วงถั่วลิสงสร้างฝัก เชื้อราชนิดนี้จะเติบโตได้ดีในสภาพอุณหภูมิ 10-15 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัท์(RH)75% ซึ่งเป็นสารพิษร้ายแรงต่อสุขภาพและชีวิตของผู้บริโภค ทั้งมนุษย์และสัตว์เลี้ยงโดยตรงอย่างเฉียบพลัน หากได้รับใบปริมาณสูงและอาจเป็นสาเหตุสำคัญทำให้เกิดโคตมะเร็งที่ตับ หัวใจ และสมอง สำหรับประเทศไทยกำหนดให้มีสารชนิดนี้ไม่เกิน 20 ส่วนในพันล้านส่วน (ppb) ส่วนต่างประเทศกำหนดให้มีสารชนิดนี้ไม่เกิน 5-30 ppb ทั้งนี้ขี้นอยู่กับการกำหนดมาตรฐานในแต่ละประเทศ
(ที่มา : กรมวิชาการเกษตรกร)